บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ [2]



ในบทความ “พุทธทาส” พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์” ผมได้เกริ่นนำไปแล้วว่า “พุทธวิชาการในเมืองไทยเชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่าพระไตรปิฎก ท่านพุทธทาสตายก็เป็นหนึ่งในนั้น อย่างเหนียวแน่นเสียด้วย

ผมได้ ชุดการบรรยายของท่านพุทธทาสชุด “ธรรมะในฐานะวิทยาศาสตร์” มาเป็นโจทย์ในการวิพากษ์วิจารณ์ไปส่วนหนึ่งแล้ว 

ในบทความนี้ ก็เนื้อหาของการวิพากษ์วิจารณ์ต่อไป

ถ้าเป็นเรื่องปรัชญา จะไม่เป็นตัวธรรมที่เป็นตัวศาสนา หรือดับความทุกข์ได้, มันจะเป็นธรรมชนิดที่ไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์ มันจะเป็นเพียงธรรมสำหรับเรียน สำหรับรู้ สำหรับถกเถียงกันเท่านั้นเอง.

ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจให้ดีว่า เมื่อพูดถึงธรรมในที่นี้ ก็คือ ธรรมที่เป็นตัวศาสนาที่สามารถปฏิบัติได้, และครั้งปฏิบัติแล้วก็ดับทุกข์ได้.

ในบัดนี้ มีปัญหาคาราคาซัง กันอยู่ในที่ทั่วๆไป คือมีคนบางพวก กำลังเถียงกันอยู่ เกี่ยวกับคำว่า ศาสนา หรือคำว่าธรรมในที่นี้. เขาเถียงกันว่า พุทธศาสนานี้เป็นปรัชญา ไม่ใช่เป็นศาสนา อย่างนี้ก็มี;

นี่เพราะเขาไม่รู้ ความหมาย ของคำว่าศาสนา หรือรู้เป็นอย่างอื่นไปเสีย. อาตมา เคยบอกมาหลายครั้งหลายหนแล้วว่า ถ้าเป็นศาสนา จะต้องเป็นวิทยาศาสตร์,ถ้าเป็นพุทธศาสนา จะต้องเป็นใน รูปของวิทยาศาสตร์, ไม่เป็นไปใน รูปของปรัชญา ซึ่งเราจะต้อง ทำความเข้าใจกันให้ชัดเจนต่อไป

เดี๋ยวนี้ มัวแต่ เถียงกันไป เถียงกันมา ว่าพุทธศาสนาเป็นปรัชญา ไม่ใช่เป็นศาสนา ดังนี้บ้าง, และยังมีที่เถียงกัน พูดกันว่า พุทธศาสนานั้น ขัดกับวิทยาศาสตร์ดังนี้บ้าง.

การพูดว่า ขัดกับวิทยาศาสตร์นั้น สำหรับคนในสมัยปัจจุบันนี้เขาถือว่า มันเป็นเรื่องใช้ไม่ได้, ถ้ามันขัดกับหลักวิทยาศาสตร์แล้ว มันก็ไม่เป็นความจริง. นี้เขาหาว่า พุทธศาสนาขัดกับหลักวิทยาศาสตร์;

เราบอกว่า ไม่ใช่เป็นอย่างนั้น, พุทธศาสนานั่นแหละ เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์เสียเอง, บางคนเป็นไปมากจนถึงกับว่า พุทธศาสนามิใช่ศาสนาไปเสียอีก อย่างนี้ก็มี,

ด้วยเขาไปหลงในปรัชญาให้พุทธศาสนากลายเป็นปรัชญา, เขาจึงเรียนพุทธศาสนากัน แต่ในรูปแบบของปรัชญา เลยทำให้ ดับทุกข์ไม่ได้

นี่ขอให้สนใจคำที่อาตมากำลังยืนยันว่า ถ้าเรียนพุทธศาสนากันในรูปแบบของปรัชญาแล้ว จะไม่ดับทุกข์, มันจะไม่เป็นการดับทุกข์.

เราต้องเรียนพุทธศาสนากันในรูปแบบของศาสนาที่มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ แล้วก็ปฏิบัติลงไปได้จริงๆ จนดับทุกข์ได้.

พุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญา, พุทธศาสนาไม่ใช่วิชาจิตวิทยา,พุทธศาสนาไม่ใช่วิชาตรรกวิทยา, พุทธศาสนาไม่ใช่ลัทธิสำหรับเชื่ออย่างงมงาย;

แต่พุทธศาสนาเป็นเรื่องจริงของธรรมชาติ อย่างที่เรียกกันว่าเป็นวิทยาศาสตร์ สำหรับปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ตามกฏของธรรมชาติโดยตรง.

ฉะนั้น เราจงมารู้จักพุทธศาสนา ในฐานะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ กันเสียให้ถูกต้อง, จะได้ป้องกันโรคเห่อปรัชญา ที่กำลังระบาด จะคลุมโลกทั้งหมด;

โรคเห่อปรัชญานี้ กำลังระบาดมาก จะคลุมโลกทั้งหมด เป็นโรคเสียอย่างนี้เสียแล้ว ก็ศึกษาพุทธศาสนา ให้สำเร็จประโยชน์ไม่ได้, จึงขอโอกาส มาทำความเข้าใจ เรื่องนี้ กันเสีย สักคราวหนึ่ง ให้ถึงที่สุด.

อาตมาก็รู้สึกว่า คงเป็นที่เบื่อหน่าย ของท่านทายกทายิกาบางคน เพราะมันเป็น เรื่องที่ฟังดูแล้ว มันคล้ายกับ คนละเรื่องของตน,

แต่อาตมาก็ได้บอกแล้วข้างต้นว่า มันเป็นความจำเป็น ที่จะต้องพูดกันเรื่องนี้ จึงขอโอกาสพูดเรื่องนี้ โดยชี้แจง ให้ชัดเจนเป็นตอนๆ ไปตามลำดับ จนกว่า จะเพียงพอ.

นี่สรุปความว่า เหมือนกับขอให้ท่านบางคนทนฟัง เรื่องที่ไม่ชวนฟัง สำหรับท่าน, แต่อาจจะชวนฟังอย่างยิ่ง สำหรับคนบางคน หรือ บางท่าน, อาตมาจะทำอย่างไรก็ลองคิดดู มันต้องพูดเพื่อความจริง ให้รู้ความจริง

แล้วก็พูดเพื่อให้สำเร็จประโยชน์ในการที่จะใช้ พระพุทธศาสนา ให้เป็นประโยชน์, แล้วก็จะป้องกัน พระพุทธศาสนา ให้พ้นจาก ภัยอันตราย ของโรคระบาด คือการเห่อปรัชญา ให้หันมามองดู พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์..

ในบทความนี้ ท่านพุทธทาสทุ่มเทสุดตัวว่า ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์  และก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ปรัชญา

เรื่องนี้ ท่านพุทธทาสผิดเต็มที่ 2 อย่าง คือ

1) ศาสนาพุทธไม่ใช่วิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน  พุทธทาสก็เหมือนพุทธวิชาการในยุคกึ่งพุทธกาลทั่วๆ ไป ก็คือ ถูกวิทยาศาสตร์ครอบงำเสียจนเสียผู้เสียคน

ท่านพุทธทาสไม่ได้เป็นนักคิดที่โดดเด่นอะไร  คือ เขามามาอย่างไร กูก็ว่าตามนั้น เป็นไปตามกระแส

ยุคของพุทธทาสต้องตีความศาสนาพุทธให้เข้ากับวิทยาศาสตร์ถึงจะทันสมัย  พวกที่เชื่อว่านรกสวรรค์ไม่จริง ก็คือพวกที่ไม่ทันสมัย โง่งมงาย

แต่ท่านพุทธทาสคงก้าวหน้ากว่าคนอื่นหนึ่งคือ บอกไปเลยว่า ศาสนาพุทธคือวิทยาศาสตร์ ว่าเข้าไปนั่น

เรื่องที่บอกว่าศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์นั้น ผิดเต็มประตู  คือ คนที่บอกได้อย่างนั้น ต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่คนในศาสนาพุทธไปบอกอย่างนั้น

2) ศาสนาพุทธนั้นศึกษาในแง่ของปรัชญาได้ เพราะ เป็นไปในทำนองเดียวกัน  แต่พวกนักปรัชญาก็ทำเกินเหตุ คือ เสือกไปโจมตีคนศึกษาศาสนาพุทธแบบพุทธ ว่าไม่จริง ไม่ถูกต้อง

คือ นักปรัชญาจะต้องรู้ตัวว่า ตนเองใช้ปรัชญาเป็นเครื่องมือในการศึกษาศาสนาพุทธ มันก็ต้องผิดเพี้ยนไปตามหลักการของปรัชญา

ต้องบอกไปเลยว่า ผมศึกษาในแง่ของปรัชญา ผลการศึกษาอาจจะไม่ถูกต้องเท่ากับคนที่ศึกษาศาสนาพุทธแบบศาสนาพุทธ

สิ่งที่ทำให้นักปรัชญาตกนรกกันหมดก็เพราะเรื่องนี้นี่แหละ คือ คนที่เขาศึกษาถูกต้องกลับไปบอกว่าของเขาผิด




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น