บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ปาณาติบาตที่ไม่บาป

วันนี้ไปอ่านพบเทศน์ของท่านพุทธทาสเรื่อง “ปาณาติบาตที่ไม่บาป” อ่านจบแล้ว รู้สึกว่าท่านพุทธทาสนี่ค่อนข้างมั่วซะแล้ว 

แต่ก็อย่างที่เคยกล่าวมาแล้ว  ข้อดีของท่านพุทธทาสก็คือ คิดอย่างไรก็เขียนอย่างนั้น มันสะดวกต่อการวิพากษ์วิจารณ์

เนื้อหาของหน้าเว็บก็มีดังนี้

ในโอกาสวันล้ออายุปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ท่านอาจารย์พุทธทาสได้แสดงธรรมในช่วงบ่ายของวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๔

เป็นส่วนหนึ่งในหัวข้อธรรมบรรยาย ที่ท่านตอบผู้ข้องใจ หรือ ตอบผู้โจษจ้วงท้วงกล่าวหาท่านที่มีมาในสังคมไทย

ปัญหานี้ คงไปเอามาจากคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อท่านพุทธทาสมา เพื่อแก้ข้อกล่าวหานั้นๆ

๑.ปาณาติบาตที่ไม่บาป

ปรัศนี:  การทำให้คนหรือสัตว์ตาย โดยไม่มีเจตนาแห่งการฆ่า ก็เป็นบาปด้วยสิกขาบทปาณาติบาตนั้น มีตัวอย่างเช่นอะไรบ้าง และมีหลักมาจากไหนครับ?

พวกที่ถือศาสนาอื่น ที่สอนว่า ฆ่าสัตว์บาป หรือกลับจะเป็นบุญไปเสียอีก ในเมื่อพระพุทธศาสนาเราสอนว่า ฆ่าสัตว์เป็นบาป

ดังนี้ ผู้ฆ่าในศาสนาโน้นจะบาปตามหลักศาสนานี้หรือไม่ครับ?

พุทธทาส: นี่ผู้ฟังจับใจความของปัญหาในข้อนี้ให้ได้เสียก่อน คือว่า อาตมาพูดไปหลายครั้งหลายหนแล้วว่า  การทำสัตว์ตายก็จะขาดศีล ปาณาติบาต ข้อที่ ๑ นั้นมันต้องมีเจตนาฆ่านะ ไม่ใช่เจตนาอย่างอื่น

นี่เป็นบัญญัติขึ้นว่า มีเจตนาอย่างนั้น แล้วพยายามอย่างนั้น แล้วทำจนตายนั้น ก็ขาดศีลข้อนี้โดยตรง หรือแม้แต่เป็นบางส่วนที่ร่วมมือ

ใจความสำคัญมันอยู่ที่ว่า เจตนานั้น มันนึกในใจใครจะไปรู้ของใคร ฉะนั้น จึงวางไว้เป็นหลักว่า แล้วแต่เจตนา

ที่ท่านพุทธทาสกล่าวว่า “ศีลข้อ 1 จะขาดนั้น จะต้องมีเจตนาฆ่าอยู่ด้วย” ถูกต้อง  การเดินไปเหยียบมดตายโดยไม่เห็นนั้น  ศีลข้อ 1 ไม่ขาด

การที่ศีลจะขาดนั้น จะต้องมีองค์ประกอบด้วย ท่านเรียกว่า “องค์ของศีล”

ข้อความตรงนี้ ท่านพุทธทาสเขียนแปลกๆ คือ หลักการว่า ถ้ามีเจตนาก็ผิดศีล ไม่เจตนาก็ไม่ผิดศีล จะไปเกี่ยวอะไรกับว่า เจตนามันอยู่ในใจ ใครจะไปรู้

เรื่องศีลขาดนี่ ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย เกี่ยวกับตัวคนทำ  ก็บางที ตอนทำศีลขาดไม่มีใครเห็น

ยิ่งทำอ่านงานของพุทธทาสไปเรื่อย ผมว่าพุทธทาสนี่ ไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับศาสนาพุทธที่แท้จริง

ท่านพุทธทาสศึกษาศาสนาพุทธแบบผิดๆ ทั้งชีวิตเลย

ที่จะยกตัวอย่างที่รุนแรงที่สุด ก็เช่นว่า เพชฌฆาต เขาต้องประหารชีวิตคนตามคำสั่งของศาล เพชฌฆาตคนนี้ จะขาดศีลปาณาติบาตข้อหนึ่งหรือหาไม่?

ถ้าเราตอบตามหลักนี้ก็ว่า แล้วแต่เจตนาของเพชฌฆาตคนนั้น

ถ้าเป็นเพชฌฆาตที่ไม่ได้รับการอบรมศึกษาอะไร มันทำไปด้วยความโกรธแค้น เจตนาจะฆ่าให้ตายด้วยความโกรธแค้น หรืออะไรก็ตาม มันก็ต้องขาดศีลข้อปาณาติบาต

แต่ถ้ามันเป็นเพชฌฆาต ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนดี ไม่มีเจตนาจะฆ่า

มีเจตนา แต่จะปฏิบัติเพื่อความยุติธรรมในโลก มันมีความบริสุทธิ์ใจอย่างนี้จริงๆ ไม่มีเจตนาฆ่า เพชฌฆาตคนนี้ ไม่ขาดศีลปาณาติบาต

มันต้องมีเจตนาจะฆ่า เช่น เราจะซื้อปลากระป๋องมากินอย่างนี้ แล้วจะมาปรับให้เราเป็นบาปเพราะว่าเขาต้องฆ่า หรือมีส่วนให้เขาฆ่ามากขึ้น อย่างนี้ไม่มีเหตุผล

ตรงนี้ ท่านพุทธทาสผิดสุดกู่เลย  เพชฌฆาตนั้น ผิดศีลเต็มประตู  องค์ของศีลในการฆ่าคนก็ครบ เพราะ รู้อยู่ตลอดเวลา 

กล่าวคือ ศีลน่ะขาดแน่ แต่กรรมชั่วนั้น อาจจะไม่มากเหมือนคนที่ฆ่ากันด้วยความโกรธแค้น เพราะ การฆ่านี้ ฆ่าไปตามหน้าที่ ไม่ได้โกรธเคืองอะไรกับคนตาย  ส่วนใหญ่ก็คงสงสารด้วย

การไปซื้อปลากระป๋องมากิน ไม่ใช่มีเจตนาจะฆ่า ถ้าเทียบเท่านี้ ปรับให้เป็นบาปละก็ไม่ต้องกินอะไรกันละ

กินข้าวก็ต้องบาป เพราะว่า การกินข้าวนั้น ทำให้ต้องมีการไถนา

เมื่อมีการไถในระหว่างรอยไถนั้น มันแดงฉานไปด้วยเลือดของสัตว์มากมาย คือมันต้องตายจะตายมากกว่าที่ไปฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ทีละตัวเสียด้วยซ้ำไป

ตัวเล็กตัวน้อย ไส้เดือน ตัวอะไรนิดๆ หน่อยๆ มันตายมากมายในรอยไถ แล้วคนกินข้าว กินข้าวสารที่เขาทำขาย จะต้องพลอยเป็นบาป เพราะสัตว์ตายในรอยไถ

แล้วคนที่กินข้าว กินข้าวสารที่เขาทำขาย จะต้องพลอยเป็นบาป เพราะสัตว์ตายในรอยไถหรือไม่?

คนกินข้าวมันไม่มีเจตนาจะฆ่าสัตว์ เช่นเดียวกับคนซื้อปลากระป๋องมากิน ก็ไม่ได้เจตนาจะฆ่าสัตว์ มันก็ไม่ผิดศีลข้อปาณาติบาต

ถ้ามีความบริสุทธิ์ใจจริงๆ มันก็ไม่ด่างไม่พร้อยอะไรเลย เว้นแต่เขาจะอุตริ จะเกิดสงสัยขึ้นมามีจิตหม่นหมอง ก็คงจะด่างพร้อยไปบ้าง

ตรงนี้บอกตรงๆ พุทธทาสนี่ ถ้าเป็นจิ๊กโก๋คงกวน “ตีน” เอาเรื่องเหมือนกัน  นี่มันแถ..อย่างไม่มีเหตุผลเลย

อนึ่ง ถ้าว่ามีเจตนาอย่างอื่น ไม่ใช่เจตนาฆ่า ก็ไม่บาปด้วยปาณาติบาต หรือไม่ขาดศีล

เรายังต้องทำอะไรหลายอย่าง ที่ทำให้สัตว์ตายโดยไม่ต้องเจตนา เช่น เป็นพวกตัวพยาธิกินยาถ่าย ถ้ากินเพียงเพื่อรักษาชีวิต ป้องกันตัวเองมันก็ไม่มีเจตนาฆ่า ก็ไม่ต้องบาป

แต่ว่าบางคนมันโกรธ โกรธตัวพยาธิกินยาเจตนาฆ่าตัวพยาธิจริงๆ มันก็ต้องขาดศีลเพราะมันเจตนาฆ่าตัวพยาธิในท้อง ไส้เดือนก็ดี ตัวตืดก็ดี ต้องทำใจให้ดีๆ นะ ไม่เช่นนั้นจะขาดศีล

อันนี้มันก็เกินไป  เรื่องของเรื่องก็คือ พุทธทาสไม่เข้าใจเกี่ยวกับ “การผิดศีล” กับ “กรรมชั่ว”  การผิดศีลกับกรรมชั่วมันคนละเรื่องกัน

ยกตัวอย่าง เพชฌฆาตกับมือปืน  ฆ่าคนเหมือนกัน ผิดศีล 5 เหมือนกัน แต่เพชฌฆาตมีกรรมชั่วน้อยกว่ามือปืน 

ถ้ามีเจตนาโกรธแค้น กูจะฆ่ามึง นี่มันก็ต้องขาดศีล แต่ถ้าเจตนาตั้งไว้บริสุทธิ์ เพียงเพื่อต่อสู้ป้องกันชีวิตตนเองอย่างนี้ พระเจ้า พระสงฆ์ก็กิน

แม้แต่พระอรหันต์ก็ฉันยาถ่าย ซึ่งทำให้พยาธิในท้องต้องตายไปไม่มากก็น้อย

เรื่องที่มาเถียงกันนี้ ถ้าว่ากันจริงในฝ่ายพวกปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ  แต่พวกที่เรียนเฉพาะปริยัติ พวกนี้ไม่ปฏิบัติธรรม เวลามันเลยว่างมาก ก็ชอบที่จะมาเถียงกันในเรื่องแบบนี้

ทีนี้ ตอนหลังมีปัญหาว่า พวกที่ถือศาสนาอื่น บางศาสนา เขาบัญญัติว่า ไม่บาป ฆ่าสัตว์ไม่บาป ไม่ได้บัญญัติว่าบาป เช่น คริสเตียนที่ไม่ได้บัญญัติว่าฆ่าสัตว์บาป บัญญัติแต่ฆ่าคน

แม้แต่พระในศาสนาโรมันคาธอลิคนี้ ก็ยังยิงปืน เป็นบาทหลวงนี่แหละก็ยิงนกอยู่ เพราะว่า ศาสนาของเขาไม่ได้บัญญัติว่าบาป

และบางศาสนาอย่าออกชื่อ เขาว่าจะได้บุญเสียอีก

การฆ่าสัตว์ตัวนั้น ตายเอาเนื้อมาแจกจ่ายเลี้ยงคนก็ได้บุญ แล้วเขามีพิธี มีความหมายที่ว่า จะส่งสัตว์ที่ถูกฆ่านี้ไปสู่สวรรค์โดยเร็ว ดีกว่าที่จะให้มันมารอเวลาอยู่เสียเวลาเปล่าๆ ช่วยให้มันไปสู่สวรรค์เร็วๆ

ฉะนั้นการฆ่าสัตว์ก็ได้บุญไม่ใช่บาป นั้นเป็นเรื่องของศาสนาอื่น ส่วนพุทธศาสนาไม่ได้สอนอย่างนั้น ถ้ามีเจตนาฆ่าแล้วก็บาป.

ทีนี้มีปัญหาขึ้นมาว่า ผู้ที่ทำตามหลักศาสนาอื่นที่ว่าไม่บาป และได้บุญนั้นน่ะ เขาจะกลายเป็นคนบาปตามหลักในพุทธศาสนาหรือไม่?

ข้อนี้ขอตอบเสี่ยงต่อการถูกด่า ซึ่งมีปากไสวไปพร้อมที่จะด่า ว่ามันบาปหรือไม่บาปตามศาสนาของเขา เพราะว่า บาปหรือบุญนี้เป็นเรื่องของศีลธรรม เป็นเรื่องของการบัญญัติ ไม่ใช่ปรมัตถธรรมของธรรมชาติ

นี่ช่วยฟังให้ดี ช่วยเป็นพยานด้วยนะ อาตมาต้องถูกด่า ถูกด่าที่พูดอย่างนี้ ช่วยเป็นพยานด้วย

ว่าถ้าบาปก็บาปตามที่เขาถือศาสนานั้น หรือไม่บาปก็ไม่บาปตามที่เขาถือศาสนานั้น นี้เป็นเรื่องศีลธรรมที่บัญญัติ ไม่ใช่ปรมัตถธรรมของธรรมชาติที่เป็นแต่เพียงทรงแสดง

ฉะนั้น เราถือศาสนาไหน พระศาสดาแห่งศาสนานั้นได้บัญญัติว่าอย่างไร เราก็เชื่อตามนั้น เพราะเรานับถือ

เมื่อเชื่อตามนั้น จิตก็เป็นไปตามนั้น เรารู้สึกว่าบาปก็บาป เรารู้สึกว่าไม่บาปก็ไม่บาป แล้วแต่บทบัญญัติ

ผู้ถือศาสนาอื่น จะไปพลอยมีบุญมีบาป ด้วยศาสนาอื่นอีกศาสนาหนึ่งนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าบัญญัติไว้ต่างกัน

แล้วจิตใจของเราก็เชื่อมั่นในศาสนานั้นๆ เป็นความรู้สึกของจิตใจตามบทบัญญัติที่มนุษย์แต่งตั้งขึ้น ไม่ใช่สัจธรรม หรือปรมัตถธรรมของธรรมชาติ เช่น หลักธรรมะอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่ศีลปาณาติบาตเป็นต้น

ฉะนั้น จึงขอตอบว่า ที่เขาทำบาปในศาสนาอื่น จะมาบาปในศาสนาอื่นก็ไม่ได้ เว้นไว้แต่มันตรงกัน เมื่อบัญญัติไว้ต่างกัน ขัดแย้งกัน มันก็เป็นบุญเป็นบาปไปตามศาสนาที่เขาถือ

นี่จะตอบอย่างนี้และมีหลักอย่างนี้ เพราะว่านี่เป็นศีลธรรม ที่เป็นการบัญญัติแต่งตั้ง ไม่ใช่สัจจธรรมของธรรมชาติ มีปัญหาอะไรต่อไปอีก?

ถึงตรงนี้แล้ว ผมฟันธงไปเลยว่า พุทธทาสนี่ เสียเวลาศึกษาศาสนาพุทธทั้งชาติ ได้ประโยชน์น้อยมาก ท่านไปแล้ว ขึ้นสวรรค์ชั้น 2 ได้ก็เป็นเพราะ ศีลดี

จุติจากสวรรค์แล้ว น่าจะไปเกิดในนรกก่อน  แล้วถึงจะได้เกิดเป็นคนภายหลัง  

โดยปกติของเทวดาส่วนใหญ่ก็จะเป็นเช่นนั้น คือ จะไปเกิดในนรกก่อน เพราะ ตอนที่เกิดเป็นคนนั้น บุญก็ทำ บาปก็ทำ  แต่บุญมากกว่าบาป  จึงได้เกิดในสวรรค์ก่อน

ในทางศาสนาพุทธนั้น  ศาสนาที่แท้จริงมีเพียงศาสนาพุทธเท่านั้น ศาสนาอื่นมันเพี้ยนไปตามการแทรกแซงของมาร

ดังนั้น ใครก็ตามทำผิดหลักการของศาสนาพุทธแล้วเป็นบาปทั้งสิ้น




2 ความคิดเห็น:

  1. บทความนี้ ผมขอนำไปวิเคราะห์ต่อได้ไหมครับ
    ประมาณว่า ดร.บอกว่า การฆ่าคน ต่อให้รัฐสั่งให้ฆ่า อย่างพวกเพชรฆาต ก้ผิดศีล แต่ได้กรรมชั่วน้อยกว่ามือปืน
    ผมก็จะเอาไปขยายความต่อว่า แล้ว "รัฐ" ต้องทำยังไงบ้าง ถึงจะไม่ต้องฆ่าคนด้วยความจำเป็น จะได้หลีกเลี่ยงการผิดศีลข้อนี้ได้

    ตอบลบ
  2. ตามสะดวก

    โดยหลักการแล้ว งานที่เผยแพร่ไปแล้ว ใครจะเอาไปวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ต่อได้เลย

    แต่ขอให้บอกว่า "เอามาจากไหน" เท่านั้น ไม่อย่างนั้น งานวิชาการของโลกมันไปไหนไม่ได้

    การที่ช่วยๆ กันวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ แม้จะเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย มันก็มีประโยชน์ทั้งสิ้น

    ตอบลบ