บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

เทวดามีจริงหรือ?


เทวดามีจริงหรือ?

ในเว็บไซต์พุทธทาสด็อทคอม มีบทความชื่อ “เทวดามีจริงหรือ?” ของท่านพุทธทาส เนื้อหาพร้อมคำวิจารณ์มีดังนี้  

แหล่งอ้างอิงในเว็บไซต์เขียนไว้ ดังนี้ (ตุลา-๑ ๑๖/๕๙๐-๕๙๓  คัดจาก หนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ ฉบับประมวลธรรม เล่ม ๒ เรียบเรียงโดย นาย พินิจ รักทองหล่อ พิมพ์ ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๔๐ โดย ธรรมทานมูลนิธิ)

ปัญหามีอยู่ว่า: ตามบาลีมีอยู่ว่า

เทวดาที่ปรารถนาสุคติ ปรารถนามาเกิดในโลกมนุษย์นั้น ย่อมเป็นการรับรองว่า เทวดามีตัวจริง และ สวรรค์ก็มีตัวจริง.

ถ้าเชื่อว่ามีจริงเช่นนี้ จะไม่เป็นเรื่องเหลวไหล ตามคติในยุคปัจจุบันไปหรือ?

ปัญหานี้ ผู้ถามได้ยึดเอาหลักที่อาตมาได้บรรยายไปในวันก่อนๆ ถึงตอนที่กล่าวว่า เทวดาที่ปรารถนาสุคติ หาที่อื่นไม่ได้ ไม่พบ ต้องมาหาในมนุษยโลก ซึ่งมีพระรัตนตรัย;

เลยยึดเอาว่า ถ้าอย่างนั้น บาลีก็ยืนยันว่า ตัวเทวดามีจริง สวรรค์มีจริง?

ข้อความนี้อยู่ในส่วนนำหรือบทนำของหนังสือ ซึ่งต้องยอมรับว่า เป็นการเขียนตามหลักการของการเขียนที่ดี

การเกริ่นนำนั้น  ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ท่านพุทธทาสไม่เชื่อเรื่องนรก-สวรรค์  ขอให้ดูข้อความสีแดงที่ผมเน้นไว้ 

คนที่เอามาถาม จนกระทั่งท่านพุทธทาสต้องออกมาตอบนั้น  ก็เอาคำเทศน์ของท่านพุทธทาสเข้ามาย้อนถาม

ขอย้ำตรงนี้ว่า คำถามเป็นอย่างนี้  

“เทวดาที่ปรารถนาสุคติ ปรารถนามาเกิดในโลกมนุษย์นั้น ย่อมเป็นการรับรองว่า เทวดามีตัวจริง และ สวรรค์ก็มีตัวจริง”

คือ มีเทวดาที่ต้องการมาเกิดในโลกมนุษย์ ดังนั้น  เรื่องสวรรค์กับเทวดาก็ต้องเป็นเรื่องจริง

ต่อไปเรามาดูคำตอบของท่านพุทธทาสกัน

อาตมาอยากจะขอตอบว่า ในบาลี มีกล่าวเช่นนั้นจริง และมีในรูปพระพุทธภาษิตจริง;

แต่ความหมายนั้น หมายถึง เทวดาเป็นตัวบุคคลาธิษฐาน เช่นนั้นจริงหรือไม่ เป็นอีกปัญหาหนึ่ง.

ถ้าเขียนอย่างนี้ ผมฟันธงเลยว่า ท่านพุทธทาสไม่เชื่อว่าสวรรค์มีจริง  แต่ท่านพุทธทาสก็ยอมรับว่า ในพระไตรปิฎกมีเขียนไว้จริง

ขั้นตอนต่อไป ท่านพุทธทาสก็ต้องหาทางตีความว่า “สวรรค์” นั้นเป็นอย่างไร ในความคิดเห็นของท่าน แต่ไม่ใช่สวรรค์ 6 ชั้นในพระไตรปิฎกแน่นอน

เรื่องเทวดานี้ ก็อยู่ในหลักเกณฑ์เดียวกันที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า ถ้าไม่ "มองเห็น" ได้ด้วยตนเองแล้ว

อย่าไปเชื่อตามดีกว่า เพราะฉะนั้น ส่วนที่พูดถึงตัวเทวดา หรือ สวรรค์นั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ.

ขอให้ท่านผู้อ่านสังเกตการณ์แก้ตัวของท่านพุทธทาสให้ดี  ซึ่งก็ไม่ใช่แค่ท่านพุทธทาสเท่านั้น พวกพระหรือนักวิชาการที่ไม่เชื่อว่า นรก-สวรรค์มีจริงก็มักจะแก้ตัวออกมาในทำนองนี้

คือ ตนเองไม่เชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ พอเทศน์หรือเขียนออกไปแล้ว  คนฟังถามกลับมาว่า “ในพระไตรปิฎกมีเรื่องนรก-สวรรค์ ท่านเทศน์อย่างนั้น มันขัดกับพระไตรปิฎก” 

พวกที่ไม่เชื่อนรก-สวรรค์ก็จะตอบมาในทำนองนี้ คือ “ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ” ในทางศาสนาพุทธ

การตอบแบบนี้ ไม่ได้เป็นการตอบที่ถูกต้อง เป็นการตอบแบบ “ไปไหนมา สามวาสองศอก”  เป็นคำตอบที่ใช้ไม่ได้

ประเด็นสำคัญ มันอยู่ที่ว่า คนที่มัวเมาอยู่ด้วยกามคุณอย่างเทวดา และ จะเป็นเทวดาอยู่ที่ไหนก็ตาม ผู้ที่มัวเมาอยู่แล้ว

ยากที่จะมีจิตใจที่โปร่งหรือแจ่มใสเพียงพอ ที่จะเข้าใจเรื่องดับทุกข์ หรือ เรื่องนิพพาน

เพราะฉะนั้น เทวดาเมื่อสำนึกถึงความที่ตนมัวเมาอยู่ในกามคุณ หรือในสวรรค์ได้ ก็เกิดความสลดสังเวชตัวเอง ว่าที่นี่ ไม่ใช่ที่เอาตัวรอดเสียแล้ว;

ควรจะเป็นในที่ที่ไม่มัวเมา ในกามคุณมากถึงเช่นนั้น; ควรจะเป็นที่ที่จะหาเรื่องราวของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเรื่องดับทุกข์นั้นได้โดยง่าย.

เพราะฉะนั้น โลกที่ดีที่น่าเกิด ก็ควรจะเป็นมนุษยโลก แทนที่จะเป็นเทวโลก.

เพราะฉะนั้น ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ควรจะอยู่ในที่ที่หาพบพระรัตนตรัยได้ง่าย หรือ ทำการดับทุกข์ได้ง่าย;

เลิกพูดถึงมนุษยโลกหรือเทวโลก ซึ่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญ.

ข้อความข้างบนนั้น  ผมหมดศรัทธากับพุทธทาสไปอีกครั้งหนึ่ง  หลังจากหมดศรัทธามาแล้วหลายครั้ง

เพราะเป็นคำตอบที่งี่เง่าสุดๆ

คำตอบดังกล่าว แสดว่า ท่านพุทธทาสแก้ตัวไม่หลุด ดันทะลึ่งมายืนยันเสียเองอีกครั้งว่า เทวดามีจริงๆ  และที่ต้องการมาเกิดนั้น เพราะ บนสวรรค์นิพพานไม่ได้  จึงต้องมาเกิด

แล้วก็มาย้ำอีกว่า “เลิกพูดถึงมนุษยโลกหรือเทวโลก ซึ่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

บอกตรงๆ การเขียนอย่างนี้  หมดภูมิ  หมดศักดิ์ศรี  เป็นคำตอบที่กระจอกจริงๆ

ผมขอยืนยันว่า เรื่องสวรรค์ เทวดา รวมถึงเรื่องนรกนั้น เป็นเรื่องสำคัญในศาสนาพุทธ เป็นประเด็นสำคัญยิ่ง

ก่อนที่เราทุกคนทุกท่านจะไปนิพพานกันนั้น  เราต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในสวรรค์ รูปพรหม อรูปพรหมและอบายภูมิทั้งหลายกันอย่างยาวนาน  ยาวนานจนไม่ต้องไปนับว่า เป็นเวลาเท่าไหร่

แล้วใครก็ตามที่ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์  พวกนั้น เขาก็ต้องไม่เชื่อเรื่องนิพพานไปด้วย 

นี่จึงเป็นประเด็นสำคัญมาก

ทีนี้ อาตมา อยากจะชี้แจงต่อ ถึงข้อที่ว่า ทำไม คำว่า เทวดา หรือ คำว่า สวรรค์นี้ มามีอยู่ในพระพุทธภาษิต และอยู่ในพระไตรปิฎก โดยตรง.

ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ในประเทศอินเดีย สมัยนั้น มีความเชื่อเรื่องเทวดา เรื่อง นรก เรื่องสวรรค์ นี้อยู่โดยสมบูรณ์แล้ว มีรายละเอียดชัดเจน เหมือนที่กล่าวนี้ ทุกอย่างมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น

พอพระพุทธเจ้า มีขึ้นในโลก เรื่องเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า ให้เขาเลิกละ ความสนใจหรือ ติดแน่นในสิ่งนั้นเสีย

ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก พรหมโลก เหล่านั้นเสีย โดยมาเอา สิ่งที่ดีกว่า คือ เรื่องโลกุตตระ หรือ นิพพาน;

ทั้งๆ ที่ไม่ต้อง เสียเวลา พิสูจน์ เรื่องเทวดา เรื่องนรกสวรรค์ ชนิดนั้น ว่ามันมี ข้อเท็จจริง โดยแท้จริงอย่างไร.

ตรงนี้แหละ คือ ความฉิบหายวายป่วงของท่านพุทธทาส  การที่ไปเขียนว่า “พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่”  ก็แสดงว่า ท่านพุทธทาสเห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงโกหก

อย่างนี้เป็นการตู่พระพุทธพจน์

ในพระไตรปิฎกนั้น  ยืนยันว่า พระพุทธเจ้าจะทรงสอนแต่เรื่องจริงทั้งนั้น และเรื่องจริงเหล่านั้น ต้องเป็นประโยชน์ด้วย 

ท่านพุทธทาสต้องการรักษาหน้าของตัวเอง โดยยกความผิดไปให้พระพุทธเจ้า  อย่างนี้ก็ฉิบหายวายป่วงแน่ๆ

ส่วนตอนเรื่อง นรกสวรรค์อะไรนั้น เป็นตอนที่ไม่ใช่ใจความของพุทธศาสนา เขาเชื่อกัน อยู่อย่างนั้นแล้ว เขาทำกัน อยู่อย่างนั้นแล้ว ก่อนพระองค์เกิด

ถ้าไปตู่เรื่องนี้ มาว่าเป็นพุทธศาสนา ก็เรียกว่า ไม่ยุติธรรม พระพุทธเจ้า ท่านไม่ขี้ตู่ อย่างนั้น เรื่องของท่าน จึงมีแต่เรื่อง โลกุตตระ คือ อริยสัจจ์ เป็นพื้น.

เพราะฉะนั้น จึงเห็นได้ว่า เรื่องสวรรค์หรือนรก นี้ ไม่ใช่ประเด็นของพุทธศาสนา แต่มันพลัดมาอยู่ใน คำของ พระพุทธเจ้าได้ เพราะความจำเป็นอย่างนี้;

ฉะนั้น เราไปสนใจกับ ตัวพุทธศาสนา โดยตรงเสีย ปัญหาเรื่องนรกสวรรค์ ก็จะหมดสิ้นไปในตัวเอง หมดความจำเป็นไปในตัวเอง

เพราะ ถ้าขืนเชื่อ งมงายไปตามผู้อื่นว่า มีจริง เป็นจริง อย่างนั้น ก็เป็นการถูกหลอก;

หรือ แม้แต่ เขาจะบังคับกระแสจิตให้เห็นได้ทางปาฏิหาริย์ ก็ยังเป็นการ ถูกหลอกอย่างลึกซึ้งอยู่นั่นเอง.

พุทธบริษัท ไม่ทำอย่างนี้ จึงพิสูจน์เรื่อง ความทุกข์ และ เรื่องความดับทุกข์ โดยตรง เป็นเรื่องของ พุทธศาสนาแท้.

มาถึงขั้นนี้ ผมขอฟันธงเลยว่า  สาวกพุทธทาสที่นับถือกันอย่างแน่นแฟ้น และเชื่อว่า นรก-สวรรค์ไม่มีจริงๆ  ตามท่านพุทธทาส

ไปอบายภูมิทุกคน 

ตอนนี้ พุทธทาสอยู่สวรรค์ชั้นที่ 2  ตอนที่ท่านจะจุติ ผมก็ว่า ท่านคงอยากจะมาเกิดในโลกมนุษย์ใหม่  แต่ผมฟันธงเลยว่า “ไม่มีทาง”

ท่านจะต้อง “เลย” โลกมนุษย์ลงไปในนรกอีกยาวนาน...






ปาณาติบาตที่ไม่บาป

วันนี้ไปอ่านพบเทศน์ของท่านพุทธทาสเรื่อง “ปาณาติบาตที่ไม่บาป” อ่านจบแล้ว รู้สึกว่าท่านพุทธทาสนี่ค่อนข้างมั่วซะแล้ว 

แต่ก็อย่างที่เคยกล่าวมาแล้ว  ข้อดีของท่านพุทธทาสก็คือ คิดอย่างไรก็เขียนอย่างนั้น มันสะดวกต่อการวิพากษ์วิจารณ์

เนื้อหาของหน้าเว็บก็มีดังนี้

ในโอกาสวันล้ออายุปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ท่านอาจารย์พุทธทาสได้แสดงธรรมในช่วงบ่ายของวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๔

เป็นส่วนหนึ่งในหัวข้อธรรมบรรยาย ที่ท่านตอบผู้ข้องใจ หรือ ตอบผู้โจษจ้วงท้วงกล่าวหาท่านที่มีมาในสังคมไทย

ปัญหานี้ คงไปเอามาจากคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อท่านพุทธทาสมา เพื่อแก้ข้อกล่าวหานั้นๆ

๑.ปาณาติบาตที่ไม่บาป

ปรัศนี:  การทำให้คนหรือสัตว์ตาย โดยไม่มีเจตนาแห่งการฆ่า ก็เป็นบาปด้วยสิกขาบทปาณาติบาตนั้น มีตัวอย่างเช่นอะไรบ้าง และมีหลักมาจากไหนครับ?

พวกที่ถือศาสนาอื่น ที่สอนว่า ฆ่าสัตว์บาป หรือกลับจะเป็นบุญไปเสียอีก ในเมื่อพระพุทธศาสนาเราสอนว่า ฆ่าสัตว์เป็นบาป

ดังนี้ ผู้ฆ่าในศาสนาโน้นจะบาปตามหลักศาสนานี้หรือไม่ครับ?

พุทธทาส: นี่ผู้ฟังจับใจความของปัญหาในข้อนี้ให้ได้เสียก่อน คือว่า อาตมาพูดไปหลายครั้งหลายหนแล้วว่า  การทำสัตว์ตายก็จะขาดศีล ปาณาติบาต ข้อที่ ๑ นั้นมันต้องมีเจตนาฆ่านะ ไม่ใช่เจตนาอย่างอื่น

นี่เป็นบัญญัติขึ้นว่า มีเจตนาอย่างนั้น แล้วพยายามอย่างนั้น แล้วทำจนตายนั้น ก็ขาดศีลข้อนี้โดยตรง หรือแม้แต่เป็นบางส่วนที่ร่วมมือ

ใจความสำคัญมันอยู่ที่ว่า เจตนานั้น มันนึกในใจใครจะไปรู้ของใคร ฉะนั้น จึงวางไว้เป็นหลักว่า แล้วแต่เจตนา

ที่ท่านพุทธทาสกล่าวว่า “ศีลข้อ 1 จะขาดนั้น จะต้องมีเจตนาฆ่าอยู่ด้วย” ถูกต้อง  การเดินไปเหยียบมดตายโดยไม่เห็นนั้น  ศีลข้อ 1 ไม่ขาด

การที่ศีลจะขาดนั้น จะต้องมีองค์ประกอบด้วย ท่านเรียกว่า “องค์ของศีล”

ข้อความตรงนี้ ท่านพุทธทาสเขียนแปลกๆ คือ หลักการว่า ถ้ามีเจตนาก็ผิดศีล ไม่เจตนาก็ไม่ผิดศีล จะไปเกี่ยวอะไรกับว่า เจตนามันอยู่ในใจ ใครจะไปรู้

เรื่องศีลขาดนี่ ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย เกี่ยวกับตัวคนทำ  ก็บางที ตอนทำศีลขาดไม่มีใครเห็น

ยิ่งทำอ่านงานของพุทธทาสไปเรื่อย ผมว่าพุทธทาสนี่ ไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับศาสนาพุทธที่แท้จริง

ท่านพุทธทาสศึกษาศาสนาพุทธแบบผิดๆ ทั้งชีวิตเลย

ที่จะยกตัวอย่างที่รุนแรงที่สุด ก็เช่นว่า เพชฌฆาต เขาต้องประหารชีวิตคนตามคำสั่งของศาล เพชฌฆาตคนนี้ จะขาดศีลปาณาติบาตข้อหนึ่งหรือหาไม่?

ถ้าเราตอบตามหลักนี้ก็ว่า แล้วแต่เจตนาของเพชฌฆาตคนนั้น

ถ้าเป็นเพชฌฆาตที่ไม่ได้รับการอบรมศึกษาอะไร มันทำไปด้วยความโกรธแค้น เจตนาจะฆ่าให้ตายด้วยความโกรธแค้น หรืออะไรก็ตาม มันก็ต้องขาดศีลข้อปาณาติบาต

แต่ถ้ามันเป็นเพชฌฆาต ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนดี ไม่มีเจตนาจะฆ่า

มีเจตนา แต่จะปฏิบัติเพื่อความยุติธรรมในโลก มันมีความบริสุทธิ์ใจอย่างนี้จริงๆ ไม่มีเจตนาฆ่า เพชฌฆาตคนนี้ ไม่ขาดศีลปาณาติบาต

มันต้องมีเจตนาจะฆ่า เช่น เราจะซื้อปลากระป๋องมากินอย่างนี้ แล้วจะมาปรับให้เราเป็นบาปเพราะว่าเขาต้องฆ่า หรือมีส่วนให้เขาฆ่ามากขึ้น อย่างนี้ไม่มีเหตุผล

ตรงนี้ ท่านพุทธทาสผิดสุดกู่เลย  เพชฌฆาตนั้น ผิดศีลเต็มประตู  องค์ของศีลในการฆ่าคนก็ครบ เพราะ รู้อยู่ตลอดเวลา 

กล่าวคือ ศีลน่ะขาดแน่ แต่กรรมชั่วนั้น อาจจะไม่มากเหมือนคนที่ฆ่ากันด้วยความโกรธแค้น เพราะ การฆ่านี้ ฆ่าไปตามหน้าที่ ไม่ได้โกรธเคืองอะไรกับคนตาย  ส่วนใหญ่ก็คงสงสารด้วย

การไปซื้อปลากระป๋องมากิน ไม่ใช่มีเจตนาจะฆ่า ถ้าเทียบเท่านี้ ปรับให้เป็นบาปละก็ไม่ต้องกินอะไรกันละ

กินข้าวก็ต้องบาป เพราะว่า การกินข้าวนั้น ทำให้ต้องมีการไถนา

เมื่อมีการไถในระหว่างรอยไถนั้น มันแดงฉานไปด้วยเลือดของสัตว์มากมาย คือมันต้องตายจะตายมากกว่าที่ไปฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ทีละตัวเสียด้วยซ้ำไป

ตัวเล็กตัวน้อย ไส้เดือน ตัวอะไรนิดๆ หน่อยๆ มันตายมากมายในรอยไถ แล้วคนกินข้าว กินข้าวสารที่เขาทำขาย จะต้องพลอยเป็นบาป เพราะสัตว์ตายในรอยไถ

แล้วคนที่กินข้าว กินข้าวสารที่เขาทำขาย จะต้องพลอยเป็นบาป เพราะสัตว์ตายในรอยไถหรือไม่?

คนกินข้าวมันไม่มีเจตนาจะฆ่าสัตว์ เช่นเดียวกับคนซื้อปลากระป๋องมากิน ก็ไม่ได้เจตนาจะฆ่าสัตว์ มันก็ไม่ผิดศีลข้อปาณาติบาต

ถ้ามีความบริสุทธิ์ใจจริงๆ มันก็ไม่ด่างไม่พร้อยอะไรเลย เว้นแต่เขาจะอุตริ จะเกิดสงสัยขึ้นมามีจิตหม่นหมอง ก็คงจะด่างพร้อยไปบ้าง

ตรงนี้บอกตรงๆ พุทธทาสนี่ ถ้าเป็นจิ๊กโก๋คงกวน “ตีน” เอาเรื่องเหมือนกัน  นี่มันแถ..อย่างไม่มีเหตุผลเลย

อนึ่ง ถ้าว่ามีเจตนาอย่างอื่น ไม่ใช่เจตนาฆ่า ก็ไม่บาปด้วยปาณาติบาต หรือไม่ขาดศีล

เรายังต้องทำอะไรหลายอย่าง ที่ทำให้สัตว์ตายโดยไม่ต้องเจตนา เช่น เป็นพวกตัวพยาธิกินยาถ่าย ถ้ากินเพียงเพื่อรักษาชีวิต ป้องกันตัวเองมันก็ไม่มีเจตนาฆ่า ก็ไม่ต้องบาป

แต่ว่าบางคนมันโกรธ โกรธตัวพยาธิกินยาเจตนาฆ่าตัวพยาธิจริงๆ มันก็ต้องขาดศีลเพราะมันเจตนาฆ่าตัวพยาธิในท้อง ไส้เดือนก็ดี ตัวตืดก็ดี ต้องทำใจให้ดีๆ นะ ไม่เช่นนั้นจะขาดศีล

อันนี้มันก็เกินไป  เรื่องของเรื่องก็คือ พุทธทาสไม่เข้าใจเกี่ยวกับ “การผิดศีล” กับ “กรรมชั่ว”  การผิดศีลกับกรรมชั่วมันคนละเรื่องกัน

ยกตัวอย่าง เพชฌฆาตกับมือปืน  ฆ่าคนเหมือนกัน ผิดศีล 5 เหมือนกัน แต่เพชฌฆาตมีกรรมชั่วน้อยกว่ามือปืน 

ถ้ามีเจตนาโกรธแค้น กูจะฆ่ามึง นี่มันก็ต้องขาดศีล แต่ถ้าเจตนาตั้งไว้บริสุทธิ์ เพียงเพื่อต่อสู้ป้องกันชีวิตตนเองอย่างนี้ พระเจ้า พระสงฆ์ก็กิน

แม้แต่พระอรหันต์ก็ฉันยาถ่าย ซึ่งทำให้พยาธิในท้องต้องตายไปไม่มากก็น้อย

เรื่องที่มาเถียงกันนี้ ถ้าว่ากันจริงในฝ่ายพวกปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ  แต่พวกที่เรียนเฉพาะปริยัติ พวกนี้ไม่ปฏิบัติธรรม เวลามันเลยว่างมาก ก็ชอบที่จะมาเถียงกันในเรื่องแบบนี้

ทีนี้ ตอนหลังมีปัญหาว่า พวกที่ถือศาสนาอื่น บางศาสนา เขาบัญญัติว่า ไม่บาป ฆ่าสัตว์ไม่บาป ไม่ได้บัญญัติว่าบาป เช่น คริสเตียนที่ไม่ได้บัญญัติว่าฆ่าสัตว์บาป บัญญัติแต่ฆ่าคน

แม้แต่พระในศาสนาโรมันคาธอลิคนี้ ก็ยังยิงปืน เป็นบาทหลวงนี่แหละก็ยิงนกอยู่ เพราะว่า ศาสนาของเขาไม่ได้บัญญัติว่าบาป

และบางศาสนาอย่าออกชื่อ เขาว่าจะได้บุญเสียอีก

การฆ่าสัตว์ตัวนั้น ตายเอาเนื้อมาแจกจ่ายเลี้ยงคนก็ได้บุญ แล้วเขามีพิธี มีความหมายที่ว่า จะส่งสัตว์ที่ถูกฆ่านี้ไปสู่สวรรค์โดยเร็ว ดีกว่าที่จะให้มันมารอเวลาอยู่เสียเวลาเปล่าๆ ช่วยให้มันไปสู่สวรรค์เร็วๆ

ฉะนั้นการฆ่าสัตว์ก็ได้บุญไม่ใช่บาป นั้นเป็นเรื่องของศาสนาอื่น ส่วนพุทธศาสนาไม่ได้สอนอย่างนั้น ถ้ามีเจตนาฆ่าแล้วก็บาป.

ทีนี้มีปัญหาขึ้นมาว่า ผู้ที่ทำตามหลักศาสนาอื่นที่ว่าไม่บาป และได้บุญนั้นน่ะ เขาจะกลายเป็นคนบาปตามหลักในพุทธศาสนาหรือไม่?

ข้อนี้ขอตอบเสี่ยงต่อการถูกด่า ซึ่งมีปากไสวไปพร้อมที่จะด่า ว่ามันบาปหรือไม่บาปตามศาสนาของเขา เพราะว่า บาปหรือบุญนี้เป็นเรื่องของศีลธรรม เป็นเรื่องของการบัญญัติ ไม่ใช่ปรมัตถธรรมของธรรมชาติ

นี่ช่วยฟังให้ดี ช่วยเป็นพยานด้วยนะ อาตมาต้องถูกด่า ถูกด่าที่พูดอย่างนี้ ช่วยเป็นพยานด้วย

ว่าถ้าบาปก็บาปตามที่เขาถือศาสนานั้น หรือไม่บาปก็ไม่บาปตามที่เขาถือศาสนานั้น นี้เป็นเรื่องศีลธรรมที่บัญญัติ ไม่ใช่ปรมัตถธรรมของธรรมชาติที่เป็นแต่เพียงทรงแสดง

ฉะนั้น เราถือศาสนาไหน พระศาสดาแห่งศาสนานั้นได้บัญญัติว่าอย่างไร เราก็เชื่อตามนั้น เพราะเรานับถือ

เมื่อเชื่อตามนั้น จิตก็เป็นไปตามนั้น เรารู้สึกว่าบาปก็บาป เรารู้สึกว่าไม่บาปก็ไม่บาป แล้วแต่บทบัญญัติ

ผู้ถือศาสนาอื่น จะไปพลอยมีบุญมีบาป ด้วยศาสนาอื่นอีกศาสนาหนึ่งนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าบัญญัติไว้ต่างกัน

แล้วจิตใจของเราก็เชื่อมั่นในศาสนานั้นๆ เป็นความรู้สึกของจิตใจตามบทบัญญัติที่มนุษย์แต่งตั้งขึ้น ไม่ใช่สัจธรรม หรือปรมัตถธรรมของธรรมชาติ เช่น หลักธรรมะอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่ศีลปาณาติบาตเป็นต้น

ฉะนั้น จึงขอตอบว่า ที่เขาทำบาปในศาสนาอื่น จะมาบาปในศาสนาอื่นก็ไม่ได้ เว้นไว้แต่มันตรงกัน เมื่อบัญญัติไว้ต่างกัน ขัดแย้งกัน มันก็เป็นบุญเป็นบาปไปตามศาสนาที่เขาถือ

นี่จะตอบอย่างนี้และมีหลักอย่างนี้ เพราะว่านี่เป็นศีลธรรม ที่เป็นการบัญญัติแต่งตั้ง ไม่ใช่สัจจธรรมของธรรมชาติ มีปัญหาอะไรต่อไปอีก?

ถึงตรงนี้แล้ว ผมฟันธงไปเลยว่า พุทธทาสนี่ เสียเวลาศึกษาศาสนาพุทธทั้งชาติ ได้ประโยชน์น้อยมาก ท่านไปแล้ว ขึ้นสวรรค์ชั้น 2 ได้ก็เป็นเพราะ ศีลดี

จุติจากสวรรค์แล้ว น่าจะไปเกิดในนรกก่อน  แล้วถึงจะได้เกิดเป็นคนภายหลัง  

โดยปกติของเทวดาส่วนใหญ่ก็จะเป็นเช่นนั้น คือ จะไปเกิดในนรกก่อน เพราะ ตอนที่เกิดเป็นคนนั้น บุญก็ทำ บาปก็ทำ  แต่บุญมากกว่าบาป  จึงได้เกิดในสวรรค์ก่อน

ในทางศาสนาพุทธนั้น  ศาสนาที่แท้จริงมีเพียงศาสนาพุทธเท่านั้น ศาสนาอื่นมันเพี้ยนไปตามการแทรกแซงของมาร

ดังนั้น ใครก็ตามทำผิดหลักการของศาสนาพุทธแล้วเป็นบาปทั้งสิ้น




นรกสวรรค์ของพุทธทาส




ท่านพุทธทาสมีข้อดีอยู่ในตัวอย่างหนึ่ง คือ คิดอย่างไร เขียนอย่างนั้น ไม่มีการหมกเม็ด บิดเบือน โดยการใช้ลูกเล่นในทางภาษาเพื่อบิดเบือนศาสนาพุทธ

ข้อดีข้อนี้ทำให้วิพากษ์วิจารณ์ข้อเขียนของท่านได้ง่ายขึ้น

ถ้าเปรียบเทียบกับพระพรหมคุณาภรณ์ พระจังไรรูปนั้น วิพากษ์วิจารณ์ยากกว่า เพราะ เล่นลูกเล่นทุกอย่างเพื่อบิดเบือนศาสนาพุทธ

ท่านพุทธทาสนี่ ลุ่มหลงวิทยาศาสตร์จนหมดเนื้อหมดตัว ประกาศกันเต็มๆ ว่า ศาสนาพุทธคือ วิทยาศาสตร์ 

ดังนั้น เรื่องอะไรก็ตามที่ไม่มีเหตุผลตามหลักของวิทยาศาสตร์แล้ว ท่านพุทธทาส ท่านต้องไม่เชื่อแน่ๆ

เรามาดูกันว่า เรื่องนรกสวรรค์นั้น วิทยาศาสตร์รับไม่ได้แน่ๆ ท่านพุทธทาสจะมีทางออกเกี่ยวกับเรื่องนรกสวรรค์นี้อย่างไร

ข้อมูลสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์เอามาจากเว็บพุทธทาส.คอม ชื่อของหน้าเว็บก็คือ “นรก-สวรรค์ ตามหลักของพระพุทธเจ้า

เนื้อหาส่วนนี้ก็นำมาจากหนังสือธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ ฉบับประมวลธรรม เล่ม ๒ เรียบเรียงโดย นาย พินิจ รักทองหล่อ พิมพ์ ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๔๐ โดย ธรรมทานมูลนิธิ

ตามหลักการของผมคือ ข้อความของท่านพุทธทาสเป็นสีน้ำเงิน ข้อความของผมเป็นสีดำ ถ้าจะเน้นก็จะใช้สีแดง

เมื่อก่อน เขาพูดกันถึงเรื่องนรกอยู่ใต้ดิน อย่างภาพเขียนฝาผนัง นั่นมันคือนรกทางกาย นรกทางวัตถุ ก็หมายถึง ร่างกายถูกกระทำอย่างนั้น เป็นนรกใต้ดินตามที่ว่า

แล้วสวรรค์ก็อยู่ข้างบน บนฟ้าข้างบนโน้น มีวิมานมีผู้เสวยสวรรค์ เป็นบุคคล มีนางฟ้า ส่งเสริม ความสุขเป็นร้อยๆ ร้อยๆ นั้นคือ สวรรค์ข้างบน แต่ เป็นเรื่องทางกาย หรือทางวัตถุทั้งนั้น

นรกกับสวรรค์ ชนิดนั้น เขาพูดกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า เขาสอนกันอยู่ก่อน แต่คุณจับใจความให้ได้ มันเรื่องทางกายนี้

เจ็บปวดทางกายอยู่ใต้ดิน คือนรกเอร็ดอร่อยทางกายอยู่ข้างบน นั่นแหละสวรรค์

ตรงนี้ เป็นข้อผิดพลาดของท่านพุทธทาสที่พยายามตีความไปว่า

เรื่องนรกสวรรค์ที่มีอยู่เต็มไปหมดในพระไตรปิฎกนั้น เป็นของศาสนาพรามหมณ์-ฮินดู

ที่จริงแล้ว นรกสวรรค์ของศาสนาพรามหมณ์-ฮินดูกับศาสนาพุทธไม่ได้เหมือนกันทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีลักษณะที่คล้ายกันมาก

ทีนี้ พระพุทธเจ้าท่านมาตรัสเสียใหม่ว่า นรกที่อายตนะฉันเห็นแล้ว ก็คือที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ; นี่นรกเมื่อทำผิด มันร้อนขึ้นมาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

มันนรกที่ไม่ใช่วัตถุ ที่ไม่ใช่กาย มันเป็นนามธรรม เป็นความรู้สึก เป็นทุกข์ร้อน อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่นรกฝ่ายวิญญาณ ฝ่ายโน้น ฝ่ายนี้ ฝ่ายวิญญาณ

ทีนี้ สวรรค์ก็เหมือนกัน เมื่อถูกต้อง เขาก็จะเป็นสุขสนุกสนาน อยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็นั้นแหละ คือ สวรรค์เป็น สวรรค์ทางวิญญาณ มันคู่กัน อย่างนี้ มันคู่กันมา อย่างนี้

ตรงนี้แหละ เป็นการตีความของท่านพุทธทาส

จะว่าไป ความคิดนี้ ไม่ใช่พุทธทาสเป็นคนแรกที่ตีความแบบนี้  บุคคลท่านแรกที่ตีความแบบนี้ก็คือ “วชิรญาณภิกขุ” ซึ่งต่อมาก็คือ พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

ทีนี้ ผมอธิบายตามพระบาลี เรื่องตัวจริง ว่าร้อนอยู่ที่ อายตนะทั้ง ๖ นี้ มันเป็นนรก สบายอย่างนี้ เป็นสวรรค์เขากลับหาว่า นี้อุปมา นี่มันกลับกันอย่างนี้ ใครโง่ใครฉลาด? คุณก็ไปคิดเอาเอง

แต่ผมยืนยันว่า ตามหลักของพระพุทธเจ้าว่า นี้คือ จริง นรกที่อยู่ที่อายตนะ ๖ นี้ คือ นรกจริงสวรรค์ที่อยู่ที่อายตนะ๖ นี้คือ สวรรค์จริงท่านจึงตรัสว่า ฉันเห็นแล้วๆ

ตรงนี้เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของท่านพุทธทาส คือ การที่ท่านไปตีความนรกสวรรค์ใหม่ ว่ามันอยู่ที่อายตนะทั้ง 6 

ตรงนี้มันเป็นการตีความใหม่ เพราะ นรกสวรรค์ในพระไตรปิฎกนั้นมีอยู่จริงๆ

การตีความใหม่แบบนี้ ในทางวิชาการก็ว่าได้ว่า ท่านพุทธทาสอุปมา  ท่านพุทธทาสดันกลับไปด่าเขากลับ ด้วยข้อความที่ว่า “ใครโง่ใครฉลาด? คุณก็ไปคิดเอาเอง” 

ผมขอฟันธงเลยว่า ท่านพุทธทาสนั่นแหละ โง่แน่ๆ โง่ตัวจริงเสียงจริง

นี่ควรจะถือเป็นหลัก กันทุกคน ถ้าลัทธิอื่น เขามาในแบบอื่น รูปอื่น เราก็ไม่คัดค้าน เราไม่ยอมรับแต่เราบอกว่า ของพุทธศาสนานี้ เป็นอย่างนี้ๆ ก็ว่าไป ไม่ต้องทะเลาะกัน

ที่มันจะไป ทำลายของเขา ยกตัวของตัว ขึ้นมา นี้มันจะได้ทะเลาะกัน จะทำอันตรายกัน เพราะหลักธรรมะ นั้นเอง

พระพุทธเจ้าท่านจึงไม่พูด ถึงเรื่องอะไรๆ ที่เขาพูดกันอยู่ก่อน ในหลายๆเรื่อง รวมทั้งเรื่อง นรก สวรรค์ นี้ด้วย

แต่ท่านพูด ขึ้นมาใหม่ว่า ฉันเห็นแล้ว คือ อย่างนี้ๆ

ตรงนี้เริ่มอันตราย เพราะ ท่านพุทธทาสไปกล่าวตู่พระพุทธองค์เข้า

แล้วที่เตือนว่า อย่าทำอย่างโน้นอย่างนี้ เดี๋ยวทะเลาะกัน ท่านไม่ได้เตือนตัวเองเลย จนถึงกับไปทะเลาะกับ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมท ในทางโทรทัศน์

ในตอนนี้ ท่านพุทธทาสรู้แล้วว่า สวรรค์มีจริง เพราะ ท่านอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์  อีกไม่นานหรอก ท่านก็จะรู้ว่า นรกมีจริง เพราะ เมื่อไหร่จุติลงจากสวรรค์ ท่านพุทธทาสไปนรกแน่ๆ

หมดกรรมเมื่อไหร่ ค่อยมาเกิดมาเป็นมนุษย์ใหม่  แต่คงจะนานนะท่าน